วันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2562 ดร.อัมพร พินะสา รองเลขาธิการ กพฐ. มอบหมายให้ ดร.อโณทัย ไทยวรรณศรี ผู้อำนวยการสำนักพัฒนานวัตกรรมการจัดการศึกษา เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการเตรียมการจัดตั้งสำนักงานบริหารพื้นที่นวัตกรรมการศึกษาใน สพฐ. ตามร่างพระราชบัญญัติพื้นที่นวัตกรรมการศึกษา พ.ศ. ... มาตรา 18 จัดโดยกลุ่มพัฒนาระบบบริหาร (ก.พ.ร.) สพฐ.
![]() |
ดร.อโณทัย ไทยวรรณศรี (ผอ.สนก. และผู้ช่วยเลขานุการคณะกรรมการอำนวยการพื้นที่นวัตกรรมการศึกษา) |
การประชุมมีวัตถุประสงค์เพื่อวิเคราะห์และพิจารณาข้อเสนอทางเลือกที่เหมาะสมในการจัดตั้งสำนักงานบริหารพื้นที่นวัตกรรมการศึกษา ใน 4 ทางเลือก ได้แก่ 1) การจัดตั้งเป็นสำนักใหม่ตามกฎกระทรวงแบ่งส่วนราชการ 2) การแก้ไขกฎกระทรวงแบ่งส่วนราชการฉบับเดิม โดยเพิ่มภารกิจในสำนักใดสำนักหนึ่ง เช่น สำนักพัฒนานวัตกรรมการจัดการศึกษา (สนก.) หรือยุบรวมสำนักเพื่อจัดตั้งสำนักใหม่โดยไม่เพิ่มจำนวนสำนักในภาพรวม 3) จัดตั้งเป็นสำนักภายใน สพฐ. และ 4) จัดตั้งเป็นกลุ่มภายในสำนักหลัก
![]() |
ดร.สมเกียรติ ตั้งกิจวานิชย์ (ประธาน TDRI และรองประธานคณะกรรมการอำนวยการพื้นที่นวัตกรรมการศึกษา) |
ประเด็นที่มีการระบุให้จัดตั้งสำนักงานบริหารพื้นที่นวัตกรรมการศึกษา ในสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน สืบเนื่องมาจากร่างพระราชบัญญัติพื้นที่นวัตกรรมการศึกษา พ.ศ. ... ที่ให้จัดตั้งสำนักงานบริหารพื้นที่นวัตกรรมการศึกษา ใน สพฐ. ทำหน้าที่เกี่ยวกับงานวิชาการและงานธุรการของคณะกรรมการนโยบายพื้นที่นวัตกรรมการศึกษา รวมทั้งให้มีหน้าที่ ดังต่อไปนี้ คือ 1) เป็นหน่วยงานกลางในการดำเนินการ ส่งเสริม สนับสนุน และประสานงานของพื้นที่นวัตกรรมการศึกษา และรับผิดชอบงานธุรการของคณะกรรมการนโยบาย 2) จัดทำนโยบายและยุทธศาสตร์ของประเทศในการดำเนินการส่งเสริมให้มีพื้นที่นวัตกรรมการศึกษา เพื่อเสนอต่อคณะกรรมการนโยบาย 3) จัดให้มีการวิเคราะห์และวิจัยเกี่ยวกับการพัฒนานวัตกรรมการศึกษาในพื้นที่นวัตกรรมการศึกษา 4) จัดทำมาตรฐานข้อมูลและมาตรฐานการแลกเปลี่ยนข้อมูลการจัดการศึกษาของพื้นที่นวัตกรรมการศึกษาและสถานศึกษานำร่องเพื่อเสนอต่อคณะกรรมการนโยบาย 5) รวบรวมข้อมูล ศึกษา และวิเคราะห์แนวทางการจัดการศึกษาของสถานศึกษานำร่องในพื้นที่นวัตกรรมการศึกษาเพื่อเสนอต่อคณะกรรมการนโยบาย 6) กำกับ ติดตาม และตรวจสอบการจัดการศึกษาในพื้นที่นวัตกรรมการศึกษา 7) จัดทำรายงานประจำปีเกี่ยวกับการจัดการศึกษาในพื้นที่นวัตกรรมการศึกษา 8) ปฏิบัติงานอื่นใดตามพระราชบัญญัตินี้หรือกฎหมายอื่นที่บัญญัติให้เป็นหน้าที่และอำนาจของสำนักงาน หรือตามที่คณะกรรมการนโยบายมอบหมาย
![]() |
ผู้แทนสำนักงาน ก.พ.ร. |
![]() |
![]() |
ผลการประชุมคณะกรรมการเตรียมการจัดตั้งสำนักงานบริหารพื้นที่นวัตกรรมการศึกษาใน สพฐ. ตามร่างพระราชบัญญัติพื้นที่นวัตกรรมการศึกษา พ.ศ. ... มาตรา 18 ได้วิเคราะห์และอภิปรายข้อดีข้อเสียของทางเลือกทั้ง 4 โดยสรุปดังนี้
- การจัดตั้งเป็นสำนักใหม่ตามกฎกระทรวงแบ่งส่วนราชการ จะต้องใช้ระยะเวลายาวนาน ประมาณ 1 ปีครึ่ง จะต้องสมเหตุสมผลในการจัดตั้งเช่นการเป็นภารกิจถาวร/เป็นงานที่ไม่จบสิ้น แต่ภารกิจตาม พ.ร.บ.นี้มีวันจบภายใน 7 ปี หรือต่อได้อีกไม่เกิน 7 ปี ดังนั้น จึงไม่เหมาะที่จะจัดตั้งเป็นสำนักใหม่ตามทางเลือกนี้ อีกทั้งการจะจัดตั้งเป็นสำนักใหม่ตามกฎกระทรววงแบ่งส่วนราชการ จะต้องอ้างอิงปริมาณงานย้อนหลัง 3 ปี จึงจะสามารถวิเคราะห์ได้ว่ามีงานมากเพียงใด จำเป็นต้องใช้บุคลากรเท่าใด เมื่อไม่มีงานย้อนหลังก็ไม่สามารถวิเคราะห์ปริมาณงานได้ การเสนอให้จัดตั้งสำนักงานใหม่ในกรณีเช่นนี้ยากที่จะประสบผลสำเร็จในการจัดตั้ง
- การแก้ไขกฎกระทรวงแบ่งส่วนราชการฉบับเดิม โดยเพิ่มภารกิจในสำนักใดสำนักหนึ่ง เช่น สำนักพัฒนานวัตกรรมการจัดการศึกษา (สนก.) หรือยุบรวมสำนักเพื่อจัดตั้งสำนักใหม่โดยไม่เพิ่มจำนวนสำนักในภาพรวม ทางเลือกนี้มีมติ ครม.รองรับให้กรมสามารถปรับปรุงอำนาจหน้าที่ได้เอง โดยการพิจารณาของกรรมการโครงสร้างของกระทรวงศึกษาธิการ (ไม่ต้องส่งไปสำนักงาน ก.พ.ร.) ในแนวทางปฏิบัติจะต้องดูว่าภารกิจของสำนักใหม่ใกล้เคียงกับสำนักใด ณ ปัจจุบัน พบว่า ใกล้เคียงกับ สนก. ดังนั้น จะเพิ่มอำนาจหน้าที่ของ สนก.ว่า ให้ทำหน้าที่เป็นสำนักงานบริหารพื้นที่นวัตกรรมการศึกษา และเพิ่มภารกิจของสำนักใหม่เข้าไปเป็นอำนาจหน้าที่ของ สนก. ด้วย หากเป็นเช่นนี้บุคลากรของ สนก. ก็ต้องทำทั้งงานเดิมและงานใหม่ และอาจไม่เป็นไปตามเจตนารมณ์ของ พ.ร.บ. ที่ต้องการให้จัดตั้งหน่วยงานขึ้นมารับผิดชอบดำเนินการเรื่องนี้เป็นการเฉพาะ ทำภารกิจเดียว มีบุคลากรรับผิดชอบโดยตรง แบบเต็มเวลา (ไม่ใช่งานฝาก)
- จัดตั้งเป็นสำนักภายใน สพฐ. ซึ่งสามารถดำเนินการได้เช่นเดียวกับที่ สพฐ. ได้ดำเนินการแล้วหลายสำนัก เป็นการแยกสำนักและบุคลากรออกมารับผิดชอบงานโดยเฉพาะ สามารถตั้งกลุ่มงานภายในดำเนินการได้เบ็ดเสร็จในตนเอง สามารถจัดตั้งได้โดยเร็ว โดยเป็นอำนาจของเลขาธิการ กพฐ. แล้วเสนอให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการลงนามในประกาศจัดตั้งสำนักงาน และสอดคล้องกับเจตนารมณ์ของ พ.ร.บ.ที่ต้องการให้มีสำนักดูแลเฉพาะ สำนักนี้สามารถบริหารจัดการรูปแบบใหม่ ที่ไม่ใหญ่นัก มีความคล่องตัว รวดเร็ว เป็น smart organization ดำเนินการเฉพาะเรื่อง อาจใช้การจ้างเอกชน (outsources) ดำเนินการในบางรายการ การจัดตั้งเป็นสำนักภายในมีประเด็นที่น่าห่วงคือ จะมีอำนาจเต็มหรือไม่ จะติดกรอบโครงสร้าง กรอบอัตรากำลังหรือไม่ เมื่อปฏิบัติจริงอาจมีข้าราชการประสงค์มาปฏิบัติงานในสำนักภายในไม่มากนัก ก็อาจให้ ผอ.สำนักและบุคลากร อีก 5 คน เป็นข้าราชการ ส่วนที่เหลืออีก 15 คน ให้จ้างอัตราจ้างมาเสริม (กรณีมีกรอบบุคลากร 20 คน)
- จัดตั้งเป็นกลุ่มภายในสำนักหลัก เป็นการตั้งกลุ่มงานในสำนักหลัก เช่น ใน สนก. โดยตั้งกลุ่มงานใหม่เป็น "สำนักงานบริหารพื้นที่นวัตกรรมการศึกษา" ซึ่งเป็นชื่อตาม พ.ร.บ. อาศัยอำนาจของ อ.ก.พ. กระทรวง โดยออกประกาศ/คำสั่งให้บุคลากรปฏิบัติภารกิจตามบทบาทหน้าที่ที่กำหนดไว้ ซึ่งแนวทางนี้สามารถดำเนินการได้รวดเร็วมากที่สุด ในการดำเนินการให้เติม Job Description (JD) ของสำนักงานบริหารพื้นที่นวัตกรรมการศึกษามาใส่ไว้ใน JD ในกลุ่มงานที่จัดตั้งขึ้นใหม่ นอกจากนั้น ให้ระบุหน้าที่ของ สนก. ให้ทำหน้าที่เป็นสำนักงานบริหารพื้นที่นวัตกรรมการศึกษา โดยมีอำนาจหน้าที่ตามกฏหมายว่าด้วยพื้นที่นวัตกรรมการศึกษา แต่การจัดตั้งเป็นกลุ่มภายในสำนักหลักเช่นนี้ จะเป็นการแสดงตัวตนได้ไม่เท่าเทียมกับหัวหน้าหน่วยงานและภาคีเครือข่ายอื่น หรืออาจไม่เหมาะสมเมื่อไปทำหน้าที่เป็นฝ่ายเลขานุการคณะกรรมการนโยบาย ที่มีนายกรัฐมนตรีเป็นประธาน รวมทั้งการเป็นกลุ่มงานภายในอาจมีข้อจำกัดเรื่องอัตรากำลัง/จำนวนคนที่จะเป็นสมาชิกกลุ่มนี้
ทั้งนี้ เมื่อมีการจัดตั้งสำนักงานฯขึ้นมาแล้ว จะต้องมีการจัดระบบ/ออกแบบกระบวนการทำงานของสำนักงาน ให้เหมาะสมกับภารกิจ รวมทั้ง พิจารณาระบบการจูงใจ การพัฒนาทีม และการสรรหาบุคลากรที่มีศักยภาพเชิงวิชาการ การประสานงาน และมี "ใจ" มาทำหน้าที่เป็น "หู" เพื่อรับฟังข้อมูลจากพื้นที่ เป็น "สมอง" เพื่อวิเคราะห์ข้อมูลจากพื้นที่ไปใช้ประโยชน์ และเป็น "ปาก" เพื่อสื่อสารนำเสนอผลต่อผู้เกี่ยวข้อง และไม่ว่าสำนักใหม่จะจัดตั้งแนวทางใด จะต้องทำงานเชิงบูรณาการกับหน่วยงานภายในสำนักงานปลัดกระทรวงศึกษาธิการ เชื่อมโยงกับสำนักงานศึกษาธิการจังหวัด และจะต้องสามารถประสานความร่วมมือกับหน่วยงานราชการและภาคีเครือข่ายอื่นได้อย่างมีประสิทธิภาพ
Written by: พิทักษ์ โสตถยาคม